"นาฬิการชีวิต" ช่วย ลดน้ำหนัก ได้

ประโยชน์ ของนาฬิกาชีวิตมีมากมาย เช่น

- ลดน้ำหนัก

- หน้าใสไร้สิว

- ป้องกันรอยเหี่ยวย่น

และอื่นๆ อีกมากมาย





อวัยวะภายในนั้นมีอยู่ ๑๒ ประการ อวัยวะเหล่านี้จะมีเวลาทำงาน ผลัดบทบาทสำคัญหมุนเวียนกันไป ทุก ๒ ชั่วโมง ตลอดทั้งวัน ที่เรียกว่า นาฬิกาชีวิต โดยปกติคนเราสนใจดูแลสุขภาพร่างกาย จะดูแลบริหารแต่กล้ามเนื้อและผิวพรรณเฉพาะภายนอกเป็นส่วนใหญ่ ทั้ง ๆ ที่เรามีระบบต่าง ๆ ที่อยู่ภายในเราไม่ค่อยให้ความสำคัญกับระบบอวัยวะภายใน ไม่บริหารอวัยวะภายใน ซึ่งเป็นตัวการสำคัญของร่างกายของเรา ที่จะทำหน้าที่ให้ร่างกายมีสุขภาพดีอวัยวะภายในนั้นมีอยู่ ๑๒ ประการ
อวัยวะเหล่านี้จะมีเวลาทำงานที่เรียกว่านาฬิกาชีวิตตลอดทั้งวัน อวัยวะ ๑๒ ประการจะทำงานผลัดหมุนเวียนกันไป มีบทบาทสำคัญทุก ๒ ชั่วโมง
ดังนั้น เราควรที่จะเอาใจใส่ดูแลอวัยวะภายในให้ดีเพื่อเราจะได้ปฏิบัติตัวถูกต้องและสามารถเลือกรับประทานตรงตามความต้องการของร่างกาย
อวัยวะภายใน ๑๒ ประการ จะทำงานผลัดหมุนเวียนกัน ได้แก่...

01.00-03.00 น.
 เป็นช่วงเวลาของ
ตับ
ควรนอนหลับพักผ่อน ถ้าใครนอนหลับได้ดีเป็นประจำในช่วงเวลานี้ ตับจะหลั่งสาร ราโทนิน (meratonine) เพื่อฆ่าเชื้อโรค ทำให้หน้าอ่อนกว่าวัย นอกจากร่างกายหลั่งสารราโทนินเป็นประจำแล้ว ยังหลั่งสารเอนโดรฟิน(endorphin) ออกมาด้วยจึงไม่ควรกินอาหาร เพราะจะทำให้ตับทำงานหนักและเสื่อมเร็ว หน้าที่หลังของตับคือขจัดสารพิษในร่างกาย ส่วนหน้าที่รอง คือ
1. ช่วยไตในการดูแลผม ขน เล็บ ถ้าตับมีปัญหา ผม ขน เล็บจะไม่สวย
2. ช่วยกระเพาะย่อยอาหาร ถ้ากินบ่อยๆ จะทำให้ตับทำงานหนักตับ จะหลั่งน้ำย่อยออกมามาก จึงไม่ได้ทำหน้าที่หลัก เป็นเหตุให้สารพิษตกค้างในตับ

03.00-05.00 น.
 เป็นช่วงเวลาของ
ปอด
จึงควรตื่นนอนเพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์ และรับแสงแดดในยามเช้า ผู้ที่ตื่นนอนช่วงนี้เป็นประจำปอดจะดี ผิวดีขึ้น และ จะเป็นคนที่มีอำนาจในตัว

05.00-07.00 น. 
เป็นช่วงเวลาของ
ลำไส้ใหญ่
ควรขับถ่ายอุจจาระทำให้เป็นนิสัยทุกเช้า ถ้าไม่ถ่ายให้ใช้วิธีกดจุดที่ตำแหน่งสองข้าจมูก ถ้ายังไม่ถ่ายให้ดื่มน้ำอุ่น 2 แก้ว ถ้ายังไม่ถ่ายให้ดื่มน้ำผึ้งผสมมะนาว โดยใช้ น้ำ 1 แก้ว + น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ + น้ำมะนาว 4-5ลูก ทำดื่มจนกว่าจะถ่ายหรือบริหารโดยยืนตรง หายใจเข้า แล้วก้มลงพร้อมทั้งหายใจออก เอามือท้าวเข่าแขม่วท้องจนเหมือนว่าหน้าท้องไปติดสันหลัง

07.00-09.00 น. 
เป็นช่วงเวลาของ
กระเพาะอาหาร
กระเพาะอาหารจะทำงาน ถ้ากินอาหารในช่วงเวลานี้ทุกวัน กระเพาะอาหารจะแข็งแรง ถ้าปล่อยให้กระเพาะอาหารอ่อนแอ จะส่งผลให้เป็นคนตัดสินใจช้าขี้กังวล ขาไม่ค่อยมีแรง ปวดเข่า หน้าแก่เร็วกว่าวัย

09.00-11.00 น. 
เป็นช่วงเวลาของ
ม้าม
ม้ามจะอยู่ชายโครงด้านซ้าย มีหน้าที่ควบคุมเม็ดเลือด สร้างน้ำเหลือง ควบคุมไขมัน คนที่ปวดศีรษะบ่อยมักมาจากความผิดปกติของม้าม อาการเจ็บชายโครงสาเหตุมาจากม้ามกับตับ
- ม้ามโต ม้ามจะไปเบียดปอด ทำให้เหนื่อยง่าย ผอมเหลือง ตาเหลือง สร้างเม็ดเลือดขาวได้น้อย
- ม้ามชื้น อาหารและน้ำที่กินเข้าไปจะแปรสภาพเป็นไขมันจึงทำให้อ้วนง่าย
ผู้ที่มักนอนหลับในช่วงเวลา 09.00-11.00 น.ม้ามจะอ่อนแอ นอกจากนี้ม้ามยังโยงถึงริมฝีปาก ผู้ที่พูดบ่อยๆ หรือพูดเก่งๆ ม้ามจะชื้น จึงควรพูดน้อยกินน้อย ม้ามจึงแข็งแรง

11.00-13.00 น.
 เป็นช่วงเวลาของ
หัวใจ
หัวใจทำงานหนักช่วงเวลานี้ จึงควรหลีกเลี่ยงความเครียด เหตุที่ทำให้ต้องใช้ความคิดหนัก และหาทางระงับอารมณ์ตื่นเต้นหรืออาการตกใจให้ได้

15.00-17.00 น.
 เป็นช่วงเวลาของ 
กระเพาะปัสสาวะ
แนวพลังของกระเพาะปัสสาวะเริ่มจากหัวตา > ผ่านหน้าผาก   >   ศีรษะ   ท้ายทอย   แผ่นหลังทั้งแผ่น    สะโพก  >   ด้านหลังขา  >   หัวเข่า   น่อง  ส้นเท้า นิ้วก้อย   กระเพาะปัสสาวะ จะเกี่ยวข้องกับระบบความจำ ไทรอยด์และระบบเพศทั้งหมด
ช่วงเวลานี้ควรทำให้เหงื่อออก  อาจออกกำลังกายหรืออบตัว กระเพาะปัสสาวะจะได้แข็งแรง ข้อควรระวังถ้าเหงื่อมีโซเดียมปนออกมามากไตจะวาย แต่ถ้ามีโปตัสเซียมปนออกมามาก หัวใจจะวาย  แก้ไขเรื่องหัวใจวายด้วยการให้ดื่มน้ำส้มหรือน้ำมะนาวเพื่อเติมโปตัสเซียม (ผู้ที่มีโปตัสเซียมน้อยต้องระวังเรื่องการฉีดยาชา เพราะยาชา ยะทำให้โปตัสเซียมลดลงอย่างรวดเร็ว หัวใจอาจวายได้ง่าย
 การอั้นปัสสาวะบ่อยๆ ปัสสาวะจะ ถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้เหงื่อที่ออกมามีกลิ่นเหม็นเหมือนปัสสาวะ

17.00-19.00 น.
 เป็นช่วงเวลาของ
ไต
จึงควรทำใจให้สดชื่นไม่ง่วงเหมาหาวนอนในช่วงเวลานี้ ผู้ใดมีอาหารง่วงนอนช่วงเวลานี้ แสดงว่ามีปัญหาเรื่องไตเสื่อม ถ้านอนหลับแล้วเพ้อ แสดงว่าอาหารหนักมาก
  - ไตซ้ายจะคุมสมองด้านขวา ซึ่งควบคุมด้านความคิดสร้างสรรค์ อารมณ์สุนทรี  รักสวยรักงาม  ชอบแต่งตัว ถ้าไตซ้ายมีปัญหา อารมณ์รักสวยรักงามจะหมดไป กลายเป็นคนปล่อยเนื้อปล่อยตัว และเป็นคนขี้ร้อน
 -  ไตขวาจะคุมสมองด้านซ้าย ซึ่งควบคุมความจำ ถ้าไตขวามีปัญหา ความจำจะเสื่อม และเป็นคนขี้หนาว (ผู้ที่ไตแข็งแรงจะเป็นคนทีอายุยืน เป็นคนกล้า)
ถ้าลำไส้เล็กมีไขมันเกาะมาก อาหารที่อยู่ในรูปของสารละลายจะผ่านลำไส้เล็กไม่ได้ จึงตกเป็นภาระของไต เป็นผลให้ไตทำงานหนัก จึงกลายเป็นโรคไต ผู้ที่เป็นโรคไต สมองจะเสื่อม ปวดหลัง เป็นหวัดง่าย มีเสลดในคอ
การดูแลคือ ตอนเช้าอาบน้ำเย็น ตอนเย็นให้อาบน้ำอุ่น กรณีที่อาบน้ำไม่ได้ ให้ใช้วิธีแช่เท้า แต่น้ำควรใส่สมุนไพรที่ถูกกับโฉลกของผู้ป่วย เช่นขิง ข่า กระชาย  อย่างใดอย่างหนึ่ง

19.00-21.00 น.
 เป็นช่วงเวลาของ
เยื่อหุ้มหัวใจ
 ช่วงเวลานี้ควรจะสวดมนต์ ทำสมาธิ ปัญหาเกี่ยวกับเยื่อหุ้มหัวใจ คือหัวใจโต  หัวใจรั่ว  เส้นโลหิตหัวใจตีบ ดังนั้นผู้ป่วยต้องระวังเรื่องตื่นเต้น ดีใจ  การหัวเราะ กรณีเส้นเลือดขอด ต้องดูและเยื่อหุ้มหัวใจให้แข็งแรง ควรใส่เสื้อผ้าชุดสีดำ เทา เอาเท้าแช่ในน้ำอุ่น

21.00-23.00 น.
เป็นช่วงเวลาที่ต้องทำให้ร่างกายอบอุ่น จึงห้ามอาบน้ำเย็นในช่วงนี้ เพราะจะทำให้เจ็บป่วยได้ง่าย อย่าไปตากลม เพราะเป็นช่วงที่ลมเป็นพิษ

23.00-01.00 น.
 เป็นช่วงเวลาของ ถุงน้ำดี

(ถุงน้ำดีเป็นถุงสำรองเก็บน้ำย่อยที่ออกมาจากตับ) อวัยวะใดในร่างการเมื่อขาดน้ำ จะมาดึงน้ำจากถุงน้ำดี ทำให้ถุงน้ำดีข้น เป็นผลให้อารมณ์ฉุนเฉียว สายตาเสื่อม เหงือกจะบวม ปวดฟัน นอนไม่หลับ ตื่นกลางดึก หรือตอนเช้าจะจาม (ถุงน้ำดีจะโยงไปถึงปอด)   จะปวดศีรษะข้างเดียวหรือสองข้าง โดยไม่ทราบสาเหตุ  (ผู้ที่ตัดถุงน้ำดีออก เมื่อตรวจด้วยลูกดิ่งจะพบว่า ถุงน้ำดีข้น มักมีอาการปวดขา ปวดสะโพก)

ทางแก้คือ อย่าใส่ชุดนอนที่เป็นผ้าใยสังเคราะห์ ไนล่อน ชุดนอนที่ทำจากใยสังเคราะห์จะไปดูดน้ำในร่างกาย ควรสวมชุดผ้าฝ้าย ดีที่สุด ไม่ควรนอนบนที่นอนสูงๆ เพราะทำให้เสียน้ำในร่างกาย ดังนั้นควรดื่มน้ำก่อนเข้านอน หรือก่อนเวลา 23 น.